วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ศิลปวัฒนธรรม


ศิลปวัฒนธรรม

อิทธิพลจากต่างชาติต่อไทยนั้นมีมานาน เห็นได้จากหลักฐาน โบราณวัตถุบ้านเชียง  ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของไทยได้รับอิทธิพลจากจีนและอินเดีย ส่วนใหญ่จะมีความเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธ ผสมรวมศาสนา พราหมณ์กับฮินดู ปนด้วยความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ เช่น
  • อิทธิพลจากศาสนาพุทธ – การทำบุณตักบาตร ความเชื่อเรื่อง บาปกรรม จารีตต่างๆ
  • อิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู – การตั้งศาล พิธีแช่น้ำ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
  • อิทธิพลจากความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ – ความเชื่อเรื่องผีสาง การทำนายฝัน ดูดวง
  • สงกรานต์ เดิมเป็นวันขึ้นปีใหม่แบบไทย ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี กิจกรรมที่ชาวไทยนิยมทำในวันนี้คือ ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำำดำหัวผู้ใหญ่ และรดน้ำให้กัน เป็นประเพณีที่ชาวต่างชาติรู้จักรกันมากที่สุด
  • ลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ้งหากเทียบการนับเดือนในปัจจุบัน จะตรงกับปลายเดือนพฤจิกายน ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ริเริ่มโดยนางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬารัตน์ เหตผลที่ประดิษฐ์กระทงก็เพื่อขอขมาพระแม่คงคา ที่เราอาศัยน้ำดื่มกินและใช้ประโขชน์สารพัด เมื่อลอยกระทง เราจะจุดธูปเทียนที่ปักบนกระทง อธิฐานขอพรขอขมาพระแม่คงคาแล้วลอยลงแม่น้ำลำคอง
มวยไทย

มวยไทย มีร่องรอยพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ เริ่มชัดเจนขึ้นในสมัยทวารวดี รุ่งเรืองในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ เป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีกลวิธีในการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ มือ เท้า เข่า ศอก อย่างละ ๒ ศีรษะอีก ๑ รวมเรียกว่า นวอาวุธ อย่างผสมกลมกลืน ทั้งในการต่อสู้ป้องกัน ตัวและเชิงกีฬา
m001มวยไทย มีความสำคัญทั้งต่อบุคคล ชุมชน สังคม และ ประเทศชาติ มีส่วนสำคัญยิ่งในการดำรงเอกราชของชาติไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในสมัยก่อน ชายฉกรรจ์ไทยแทบทุกคน ทั้งพระมหากษัตริย์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางฝ่ายทหาร และ สามัญชน จะได้รับการฝึกฝนมวยไทยไว้เพื่อป้องกันตัวและชาติ บ้านเมือง เพราะการใช้อาวุธ เช่น กระบี่ กระบอง พลอง ดาบ ง้าว ทวน ประกอบกับมวยไทย จะทำให้การใช้อาวุธนั้นเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ป้องกันตัว ระยะประชิด
ศิลปะมวยไทย คือ ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้หลักพื้นฐานและทักษะ การต่อสู้ในระดับต่างๆ คือ ท่าร่าง เชิงมวย ไม้มวย และเพลงมวย อย่างผสมผสานกันจนมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการรุกและ การรับ ท่าร่าง คือการเคลื่อนตัวและการเคลื่อนที่ เชิงมวย คือ ท่าทางของการใช้นวอาวุธในการต่อสู้ แบ่งออกเป็น เชิงรุก ได้แก่ เชิงหมัด เชิงเตะ เชิงถีบ เชิงเข่า เชิงศอก และเชิงหัว เชิงรับ ได้แก่ ป้อง ปัด ปิด เปิด ประกบ จับ รั้ง เป็นต้น ซึ่งเชิงมวยนี้ถือว่าเป็น พื้นฐานสำคัญในศิลปะมวยไทย ไม้มวย หมายถึงการผสมผสาน การใช้หลักพื้นฐานของศิลปะการต่อสู้ เข้ากับท่าร่างและเชิงมวย ถ้าใช้เพื่อการรับเรียกว่า “ไม้รับ” ถ้าใช้เพื่อการรุกเรียกว่า “ไม้รุก” ไม้มวย ยังแบ่งออกเป็นแม่ไม้ ลูกไม้ และไม้เกร็ด แม่ไม้ คือ การปฏิบัติการหลัก ที่เป็นแม่บทของการปฏิบัติการรุกและรับ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ กำลัง พื้นที่ ที่ใช้กำลัง และจังหวะเวลาในการใช้กำลัง ลูกไม้ คือ การปฏิบัติ การรองที่แตกย่อยมาจากแม่ไม้ ซึ่งแปรผันแยกย่อยไปตามการ พลิกแพลงของท่าร่างและเชิงมวยที่นำมาประยุกต์ใช้ และไม้เกร็ด คือ เคล็ดลับต่างๆ ที่นำมาปรุงทำให้แม่ไม้และลูกไม้ที่ปฏิบัติมี ความพิสดารมากยิ่งขึ้น
ไม้มวยนั้น มีการตั้งชื่อไม้มวยต่างๆให้ไพเราะ เข้าใจและ จดจำได้ง่ายโดยเทียบเคียงลักษณะท่าทางของการต่อสู้กับชื่อ หรือลีลาของตัวละคร เหตุการณ์ หรือสัตว์ในวรรณคดี เช่น เอราวัณเสยงา หนุมานถวายแหวน มณโฑนั่งแท่น อิเหนา แทงกฤช ไม้มวยบางไม้ เรียกชื่อตามสิ่งที่คุ้นเคยในวิถีชีวิตของคนไทย เช่น เถรกวาดลาน คลื่นกระทบฝั่ง หนูไต่ราว มอญยันหลัก ญวนทอดแห เป็นต้น เพราะเมื่อเอ่ยชื่อ ท่ามวยแล้ว จะทำให้นึกถึงท่าทางของการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน ส่วน เพลงมวย หมายถึง การแปรเปลี่ยนพลิกแพลงไม้มวยต่างๆ ต่อเนื่องสลับกันไปอย่างพิศดารและงดงามในระหว่างการต่อสู้
m002ในอดีตมวยไทยชกกันด้วยมือเปล่า หรือใช้ด้ายดิบพันมือ หรือ เรียกกันว่า “คาดเชือก” จึงสามารถใช้มือในการจับ หัก บิด ทุ่ม คู่ต่อสู้ได้ นักมวยจึงใช้ชั้นเชิงในการต่อสู้มากกว่าการใช้พละกำลัง จึงเกิดไม้มวยมากมาย แต่เมื่อมวยไทยได้พัฒนาเป็นกีฬามากขึ้น มีการออกฎกติกาต่างๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ นักมวย และตัดสินได้ง่าย ไม้มวยที่มีมาแต่อดีตบางไม้จึงไม่ สามารถนำมาใช้ในการแข่งขันได้ และบางไม้นักมวยก็ไม่สามารถ ใช้ได้ถนัดเนื่องจากมีเครื่องป้องกันร่างกายมาก ไม้มวยบางท่าจึง ถูกลืมเลือนไปในที่สุด
มวยไทย มีวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย จึงได้หลอมรวม ศิลปวัฒนธรรมหลายด้านเข้าด้วยกันอย่างผสมผสานกลมกลืน เช่น ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ คาถาอาคม ดนตรี วรรณกรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นธรรมเนียมนิยมที่นักมวยไทยยังคงยึดถือ ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ การขึ้นครู การครอบครู การไหว้ครู การแต่งมวย และดนตรีปี่มวย
โดยเหตุนี้ มวยไทยจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการฝึกคนที่วิเศษอย่างหนึ่ง เพราะการฝึกมวยไทยช่วย พัฒนาร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญา ให้เป็นผู้มีความ สมบูรณ์ทั้งกาย ใจ สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ มวยไทยยังเป็นสื่อที่ทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจและ ชื่นชมประเพณีวัฒนธรรมไทยมากขึ้นอีกด้วย

ดนตรีไทยในวัฒนธรรมไทย
Image
ดนตรีไทยในวัฒนธรรมไทย

      ดนตรีเป็นงานศิลป์แขนงหนึ่งที่มนุษย์ได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอันกว้างใหญ่ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความคิด สร้างสรรค์เรียนรู้เลียนแบบจากธรรมชาติ เป็นการตอบสนองความต้องการ (response) โดยตรง โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติประดิษฐ์เป็นเครื่องดนตรีในการบรรเลงขับกล่อมตามกิริยาท่าทางของมนุษย์ที่พึงกระทำได้ ได้แก่ ดีด-สี-ตี-เป่า
      ดนตรีไทยจึงมีบทบาทต่อชีวิตของมนุษย์ เป็นเครื่องมือที่สามารถตอบสนองความต้องการในการประเทืองอารมณ์กระตุ้นความรู้สึกของเราอย่างมาก ถ้าขาดเสียงเพลงและเสียงดนตรีแล้วจะทำให้มนุษย์อยู่อย่างแห้งแล้ว ไร้อารมณ์ความรู้สึก ไม่มีเครื่องมือประเทืองจิดใจ ไม่ละเอียดอ่อนและไม่เกิดความสุขความสนุกสนาน ดังประโยคที่ว่า"เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ"

ดนตรีไทยสมัยอยุธยา
      เรื่องของศิลปะโดยเฉพาะการดนตรีจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าก็ในเวลาที่บ้านเมืองมีความสงบสุข ประชาชนพลเมืองอยู่ดีกินดีปราศจากศึกสงคราม แต่ว่าตั้งแต่สมัยที่อาณาจักรสุโขทัยได้มารวมกับอยุธยานี้ บ้านเมืองก็มีศึกสงครามภายนอกและสงครามภายในมีอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นการดนตรีต่างๆ จึงมิได้เจริญก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่มีอยู่เดิมอย่างไรและที่รับมาจากสุโขทัยอย่างไรก็คงสภาพเช่นเดิมนั้น แม้แต่วงปี่พาทย์เครื่องห้าก็คงมีเครื่องดนตรีอยู่เท่าเดิม คือ ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน กลองทัดลูกเดียว และฉิ่ง การที่ปี่พาทย์เครื่องห้ามีอยู่เพียงเท่านี้ โดยไม่มีระนาดนั้นได้ใช้กันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการบรรเลงประกอบโขน ละครหรืองานพิธีใดๆ และปรากฏว่าใช้กันมาถึงสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังได้ปรากฏตามจดหมายเหตุของ มองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ เอกอัครราชทูตพิเศษของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ผู้เข้ามาทูลเกล้าฯถวายพระราชสาส์นในกรุงสยามที่บันทึกไว้เมื่อพุทธศักราช ๒๒๓๑ ในจดหมายเหตุนี้ ลาลูแบร์ได้บันทึกไว้อย่างละเอียดลออว่า เครื่องบรรเลงในวงดนตรีมีอะไรบ้าง รูปร่างเป็นอย่างไร (ในสายตาฝรั่ง) ก็บันทึกไว้อย่างเรียบร้อย แต่ก็ไม่ปรากฏมีระนาดอยู่ในวงเลย จะว่าลาลูแบร์ไม่เห็นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าระนาดนั้นไม่ใช่ของเล็ก และการตั้งวงปี่พาทย์ระนาดจะต้องตั้งข้างหน้าวงเสมอ เมื่อลาลูแบร์ไม่ได้บันทึกเรื่องระนาดลงไว้จึงเชื่อได้ว่า วงปี่พาทย์สมัยนั้นคงจะยังไม่มีระนาดเป็นแน่ แม้คำพากย์ไหว้ครูหนังใหญ่ของเก่าที่เรียกกันว่า “พากย์สามตระ” นั้น ในฉบับที่ถือว่าเก่าที่สุด

      คำพากย์สามตระทั้งสองบทนี้ไม่มีระนาดทั้งนั้น หลักฐานที่จะอ้างอีกอย่างหนึ่งที่ว่าไม่มีระนาดก็คือ ภาพวงดนตรีบนลายตู้ไม้จำหลักเรื่องวิธูรชาดก สมัยอยุธยา ซึ่งเวลานี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ภาพวงดนตรีภาพนี้ก็มี แต่ฆ้องวงไม่มีระนาด วงปี่พาทย์เครื่องห้าเพิ่งจะมามีระนาดเอาก็คงจะตอนปลายสมัยอยุธยา ซึ่งไทยเราจะคิดขึ้นเองหรือว่าได้แบบมาจากมอญก็ไม่ทราบ แต่ถึงแม้มีระนาดเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งก็ยังคงเรียกว่า ปี่พาทย์เครื่องห้าอยู่เช่นเดิม เพราะเห็นว่าฉิ่งเป็นเครื่องประกอบจังหวะที่เล็ก จึงไม่นับ หรือว่ายังจะนับถือคำว่า “ห้า” ซึ่งมาจาก “ปัญจดุริยางค์” ของอินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดก็ได้

มโหรี
      ในสมัยอยุธยาได้มีวงดนตรีเกิดขึ้นอีกวงหนึ่ง คือ วงดนตรีที่ในสมัยปัจจุบันเราเรียกว่า “มโหรี” วงมโหรีเป็นวงดนตรีที่ผู้หญิงเป็นผู้บรรเลง สำหรับขับกล่อมถวายพระมหากษัตริย์ให้ทรงพระสำราญ วงมโหรีครั้งแรกมีผู้บรรเลงเพียง ๔ คน เท่านั้น คือ คนดีดพิณที่เรียกว่ากระจับปี่คนหนึ่ง สีซอสามสายคนหนึ่ง ตีทับ (คือโทน) คนหนึ่ง กับคนร้องตีกรับพวงด้วยคนหนึ่ง ต่อมาจึงได้เพิ่มคนบรรเลงและเครื่องดนตรีขึ้นอีก ๒ อย่าง คือ รำมะนาให้ตีคู่กับโทนคนหนึ่ง กับคนเป่าขลุ่ยอีกคนหนึ่ง วงมโหรีตอนนี้ จึงมีอยู่ ๖ คน ภายหลังจึงได้เพิ่มฉิ่งขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คงจะให้คนร้องตีแทนกรับ
   สมัยต่อมาได้นำเอาจะเข้าซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของมอญเข้ากับประสมแทนกระจับปี่เพราะเป็นสิ่งที่บรรเลงทำนองได้ละเอียดลออกว่า เสียงก็ไพเราะกว่า และเป็นสิ่งที่วางกับพื้นราบดีดได้ถนัดกว่ากระจับปี่ วงมโหรีได้เป็นมาดังนี้ตลอดสมัยอยุธยา

วงมโหรีโบราณ เครื่องสี่

วงมโหรีโบราณเครื่องหก
วงมโหรีโบราณเครื่องหก

วงเครื่องสาย
      เครื่องดนตรีจำพวกเครื่องสายนั้นในสมัยอยุธยาได้มีอยู่แล้วหลายอย่าง สมัยอยุธยาคงจะมีผู้เล่นดนตรีจำพวกซอ ขลุ่ย อยู่เป็นอันมาก และอาจจะเล่นกันอย่างแพร่หลายจนความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้น ทำให้เล่นกันเกินขอบเขตเข้าไปจนถึงใกล้พระราชฐาน จึงถึงกับมีบทบัญญัติกำหนดโทษไว้ในกฎมณเฑียรบาลในตอนหนึ่ง ว่าดังนี้

   “ อนึ่งในท่อน้ำ ในสระแก้ว ผู้ใดขี่เรือคฤ เรือปทุน เรือกูบ และเรือมีสาตราวุธ และใส่หมวกคลุมหัวนอนมา ชายหญิงนั่งมาด้วยกัน อนึ่งชเลาะตีด่ากัน ร้องเพลงเรือ เป่าปี่เป่าขลุ่ย สีซอ ดีดจะเข้ กระจับปี่ ตีโทนทับ โห่ร้องนี่นัน อนึ่งพิริยหมู่แขก ขอม ลาว พะม่า เมง มอญ มสุม แสง จีน จาม ชวา นานาประเทษทั้งปวง และเข้ามาเดิรในท้ายสนมก็ดี ทั้งนี้อัยการขุนสนมห้าม ถ้ามิได้ห้ามปรามเกาะกุมเอามาถึงศาลา ให้แก่เจ้าน้ำเจ้าท่าแลให้นานาประเทษไปมาในท้ายสนมได้ โทษเจ้าพนักงานถึงตาย”   

โทนทับ
โทนทับ
      เครื่องดนตรีต่างๆ ที่ได้ระบุมาในกฎมณเฑียรบาลนี้ นอกจากปี่ซึ่งอยู่ในวงปี่พาทย์และกระจับปี่ในวงมโหรีแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในวงเครื่องสายทั้งสิ้น คือ มีซอ ขลุ่ย จะเข้ และโทนทับ ส่วนซอนั้นจะเป็นซอสามสายอย่างวงมโหรี หรือจะเป็นซอด้วงซออู้อย่างที่เราบรรเลงผสมอยู่ในวงเครื่องสายก็ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่พิจารณาตามสภาพการณ์ซึ่งเล่นกันมากมายแพร่หลายถึงต้องบัญญัติไว้เป็นกฎหมายห้ามกันอย่างนี้ คงต้องเป็นของที่ค่อนข้างจะเล่นง่ายและหาง่าย จึงเข้าใจว่าซอที่ระบุในกฏมณเฑียรบาลนี้จะเป็นซอด้วงซออู้ ที่บัญญัติไว้ว่า “ซอ” เฉย ๆ ก็เพื่อให้คลุมไปถึงซอสามสายและซออื่นๆที่จะมีผู้คิดสร้างเลี่ยงกฎหมายในภายหลังด้วยถ้าเป็นอย่างนี้วงเครื่องสายไทยในสมัยอยุธยาก็มีพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้ว คือ มีซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ยเป็นเครื่องบรรเลงทำนอง โทน ทับ และฉิ่งเป็นเครื่องบรรเลงประกอบจังหวะ ส่วนขลุ่ยก็คงจะมีแต่ขลุ่ยเลาขนาดกลาง ซึ่งเราเรียกกันในสมัยนี้ว่า “ขลุ่ยเพียงออ” เลาเดียว “ขลุ่ยหลิบ” คือขลุ่ยขนาดเล็กมีเสียงสูงนั้นยังไม่มี แต่ “โทนทับ” นั้นเป็นการเรียกทับศัพท์ เพราะทับคือโทน โทนก็คือทับ จึงเห็นได้ว่าเวลานั้นเครื่องกำกับจังหวะมีแต่โทนคือทับอย่างเดียว ยังไม่มีรำมะนามาผสม ส่วนชื่อวงที่มีเครื่องสายผสมนี้คงจะไม่เรียกว่า วงเครื่องสาย แต่อาจจะเรียกว่า “ดนตรี” ก็ได้ เพราะในกฎมณเฑียรบาลนั่นเองแยกเรียกมโหรีกับดนตรีเป็นคนละอย่าง กฎมณเฑียรบาลที่ว่านั้นคือ ตอนซึ่งว่าด้วยการพิธีตรองเปรียงที่กำหนดเรือต่างๆ มีอยู่ตอนหนึ่งว่า

“เรือปลาลูกขุนเฝ้า น่าเรือเบญจา เรือจะเข้แนมทั้งสองข้าง ซ้ายดนตรี ขวามโหรีฯ”

Image      Image

      คำว่า “ดนตรี” ในที่นี้ย่อมเหมาะที่จะเรียกชื่อวงเครื่องสายยิ่งกว่าวงอื่นใด เพราะคำว่า “ดนตรี” ก็แปลตรงอยู่ว่า “ผู้มีสาย”
      เท่าที่ได้รวบรวมกล่าวมาแล้ว ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า ในสมัยอยุธยานั้นมีเครื่องดนตรีครบทั้ง ๓ ประเภท คือ ปี่พาทย์ มโหรี และเครื่องสา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น